บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วัดจันทราราม(วัดท่าซุง)และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


วัดท่าซุงนี่ตั้งมาก่อนสร้างกรุงศรีอยธยา   30  ปี พ.ศ.1863  ในยุคต้นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  หลวงพ่อใหญ่องค์แรกที่เป็นผู้สร้างวัด ชื่อปานเหมือนกับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา  รูปร่างหน้าตาใหญ่โต  ท่านธุดงค์มาพบที่นี่เข้าแล้วก็เลยสร้างวัดตรงนี้  ปลูกกุฏิหลังคามุงแฝกขึ้นมา 9 หลัง  ในสมัยก่อนโน้นลำคลองนี้เป็นคลองเล็ก  ลำ คลองนี้มันโตสมัยที่มีเรือเมล์ เรือเขียว เรือแดงวิ่ง มีคลื่นตลิ่งมันก็พัง สมัยก่อนลำคลองเล็กใช้น้ำในคลองไไม่ได้ ต้องใช้น้ำในห้วยยเล็ก ๆ หลังวัด
            วัดจันทาราม ตั้งชื่อตามอดีตเจ้าอาวาสชื่อจันท์ (ในสมัยพระนารายณ์มหาราช  นายทหารชื่อจันท์กลับจากศึกเชียงใหม่ มาตามหาภรรยาไม่พบเลยมาบวชที่วัด ต่อมาเป็นสมภาร  เปลี่ยนชื่อวัดมาเป็นวันจันทารามตามชื่อท่านสมภาร)  หรืออีกชื่อหนึ่งที่บุคคลทั่วไปนิยมเรียกว่าวัดท่าซุง  เพราะในอดีตจังหวัดอุทัยธานี มีป่าไม้มาก  จึงมีการขนส่งท่อนซุงมาลงท่าน้ำซึ่งมีแม่น้ำสะแกกรังไหลผ่านบริเวณวัดท่าซุง  เพื่อผูกเป็นแพล่องไปตามแม่น้ำ  ในปี พ.ศ. 2332  หลวงพ่อใหญ่ (องค์ที่สอง)  ท่านได้ธุดงค์มาปักกลด  ชาวบ้านท่าซุงมีความเลื่อมใสศรัทธามาก  ได้นิมนต์ท่านอยู่ประจำที่วัดท่าซุงนี้  ท่านก็รับนิมนต์เป็นเจ้าอาวาส  ที่วัดนี้มีท่านเพียงองค์เดียวในตอนแรก  สร้างเสนนาสนะเจริญรุ่งเรืองในสมัยของท่าน  และหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน  ท่านได้บอกอีกว่า  หลวงพ่อใหญ่ท่านบรรลุพระอรหันต์ที่วัดนี้อีกด้วย  กล่าวคือ  เมื่อมีชีวิตอยู่ท่านเป็นอนาคามี  ก่อนจะมรณภาพท่านก็เป็นพระอรหันต์
            หลวงพ่อเส็ง (หลวงพ่อขนมจีน)  ท่านเป็นผู้ช่วยหลวงพ่อใหญ่บูรณะวัดในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์  และเป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อใหญ่  ท่านเป็นพระอรหันต์รูปที่ 2  ต่อจากหลวงพ่อใหญ่  วัดเจริญต่อมาจนถึงสมัยของหลวงพ่อเล่งและหลวงพ่อไล้  ท่านเป็นพี่น้องกัน  ท่านเป็นพระทรงฌานทั้งสองรูป  เมื่อจะมรณภาพทุกขเวทนามาก  ท่านก็เห็นทุกข์ของการเกิด  เป็นทุกข์เพราะร่างกาย  เห็นคุณของคำสอนของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ท่านก็เป็นพระอรหันต์ก่อนมรณภาพทั้งสองรูป  ต่อจากนั้นก็ถึงยุคภิกขุพานิช  วัดไม่ได้บูรณะมา  47  ปี  จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2511  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)  ได้มาริเริ่มบูรณะวัดอีกครั้ง







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น