“ชีวิตเปรียบเหมือนพระอาทิตย์ ที่ต้องขึ้นและตก เมื่อถึงเวลา”
ทริปนี้หมูหิน.คอมพาตะลุย เกาะภูเก็ตกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าภูเก็ตเป็นเมืองไข่มุกแห่งอันดามัน เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย หรือชาวต่างชาติ ต่างมุ่งหวังที่จะไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต อีกทั้งภูเก็ตยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยทัศนียภาพที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นทะเลใส หาดทรายขาว ฟ้าสีคราม และภูเขาเขียวขจี แล้ว ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจของทุกคนที่ไปเยือนเมือง ภูเก็ต นั่นก็คือ “แหลมพรหมเทพ”
หากพูดถึงแหลมพรหมเทพ ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะต่างก็ทราบกันดีว่า ในบรรดาสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่ขึ้นชื่อของเมืองไทย เชื่อแน่ว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ คงต้องนึกถึง “ แหลมพรหมเทพ ” ที่จังหวัดภูเก็ต แน่นอน เพราะมีหลายสิ่งที่แตกต่างไปจากที่อื่นๆ เช่นจุดชมวิวอยู่บนชะง่อนเขา ซึ่งมองเห็นทะเลอันเวิ้งว้างได้รอบทิศ และบริเวณนั้นก็ยังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม เป็นภาพที่มีเสน่ห์มนต์ขลังชวนให้หลงใหล และเก็บบันทึกไว้ทั้งในแผ่นฟิลม์และในความทรงจำอย่างแน่นอน
แหลมพรหมเทพ เป็นแหลมที่อยู่ใต้สุดของเกาะภูเก็ต ซึ่งห่างจากตัวเมืองภูเก็ต ประมาณ 19 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นแหลมโค้งไล่ระดับทอดตัวสู่ท้องทะเล โดยรอบข้างแวดล้อมไปด้วยต้นตาลที่ขึ้นแทรกอยู่เรียงรายและต้นหญ้าทั้งน้อย ใหญ่ที่พัดพลิ้วด้านขวาเป็นหาดในหานและเกาะมัน ส่วนด้านซ้ายจะมองเห็นหาดในยะซึ่งเป็นหาดเล็ก ๆ โดยทั่วไปบรรดานักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเที่ยวหรือพักที่หาดใดก็ตาม พอช่วงใกล้เย็น ๆ ต่างก็มีจุดหมายที่จะมาชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด ที่แหลมพรหมเทพ และจะโชคดีมากกว่านั้นหากมาชมในวันที่อากาศดี ท้องฟ้าเปิด มีเมฆน้อย บรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ ก็จะยิ่งสวยงามเป็นสองเท่า
แหลมพรหมเทพถือว่าเป็นสถานที่โรแมนติกแห่งหนึ่งของเกาะ ภูเก็ต หลายคู่มักชวนกันมานั่งชมพระอาทิตย์ตก ดื่มด่ำกับบรรยากาศในยามเย็นที่มองเห็นระลอกคลื่นแต่ไกล น่าอิจฉาจังเพราะทริปนี้หมูหิน.คอมมาเดี่ยวแบบว่าไร้คู่ชูชื่น จึงได้แต่นั่งหยุดความคิดเรื่องต่าง ๆ จดจ่ออยู่แค่การมองไปข้างหน้า เห็นแสงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำทะเลทำให้เกิดแสงระยิบระยับจับตา บวกกับการปลดปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยขึ้นบนท้องฟ้าประหนึ่งว่าเป็นนกที่กำลังบิน สูดลมหายใจเข้าแบบเต็มปอด เพื่อเพิ่มกำลังใจ
ในระหว่างที่กำลังนั่งมองคลื่นทะเลอยู่นั้น นักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น จากความเงียบก็เริ่มมีเสียงเจี้ยวจ้าว มันคงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ไม่ว่าใครที่ขึ้นมาเห็นภาพที่น่าประทับใจ ก็ย่อมปลดปล่อยมันออกมา สักพักก็เริ่มมีผู้คนเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ในใจก็เลยคิดว่าจะเก็บภาพนิ่งยามพระอาทิตย์ตกไปฝากเพื่อน ๆ ชาวหมูหิน หรือว่าจะถ่ายวิดีโอดี คิดไปคิดมา สายตาก็หันไปเห็นโขดหินใหญ่ ๆ ที่อยู่ปลายสุดของแหลมพรหมเทพ ก็เลยนึกออกว่ามาแหลมพรหมเทพทั้งที ก็น่าจะไปยืนอยู่ ณ ปลายสุดของพื้นดินที่เชื่อมต่อไปยังทะเล ไม่รอช้าหมูหิน.คอมก็เลยเดินลงไปยังโขดหินสุดท้าย และเอื้อมมือไปแตะน้ำทะเล และนี่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่าการรอชมพระอาทิตย์ตกดิน
นอกจากความสวยงามต่าง ๆ ที่เราสามารถเก็บบันทึกไว้เป็นภาพประทับใจแล้ว แหลมพรหมเทพยังมีสิ่งก่อสร้างอีกอย่างก็คือ ประภาคาร เป็นหอคอยสูง ช่วงกลางคืนจะเปิดไฟส่องวับวาบ ให้สัญญาณกับเรือที่กำลังแล่นอยู่กลางทะเล ประภาคารนี้ได้สร้างขึ้นมาใหม่ในช่วงเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษก 50 ปี มีชื่อว่า “ ประภาคารกาญจนาภิเษก ” และตรงจุดนี้ก็เป็นที่รายงานเวลาพระอาทิตย์ตกของประเทศ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับใครที่มาเที่ยว แหลมพรหมเทพแล้ว นอกจากเก็บภาพความประทับใจ ก็ยังสามารถซื้อหาของฝาก ของที่ระลึกได้ เพราะมีร้านค้าทั้งน้อยใหญ่ มากมายมีทั้งรูปภาพ โปรสการ์ด เสื้อยึดสกรีนลายแหลมพรหมเทพ มีทั้งสีขาว สีดำให้เลือกตามใจชอบ หมูหิน.คอมก็เลยอดไม่ได้ที่จะควักเงินในกระเป๋ามาซื้อเสื้อยึดสีดำสกรีนลาย แหลมพรหมเทพ แต่ใครที่คิดว่ามาแหลมพรหมเทพแล้วจะหิวก็ ไม่ต้องกังวล เพราะมีร้านขายอาหารทะเลแบบว่าสด ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นจากทะเล ตรงดิ่งสู่แหลมพรหมเทพกันเลย ไม่ว่าจะกุ้ง ปลาหมึก ปลา หอย ก็มีให้กินกัน
การเดินทางมายังแหลมพรหมเทพ ส่วนมากจะมาโดยรถยนต์ส่วนตัว หรือมาเป็นแบบคณะทัวร์ หากมีเวลาประมาณ 1 วัน หมูหิน.คอมแนะนำให้เช่ามอเตอร์ไซค์เที่ยวดีกว่า เพราะสามารถขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวเลาะตามหาดต่าง ๆ ทั่วทั้งภูเก็ต โดยใช้หลักการเดินทางง่าย ๆ คือ ขับวนซ้าย หรือวนขวาตลอดเส้นทาง หลังจากเที่ยวครบทุกหาด ก็ไปจบที่แหลมพรหมเทพ ขอบอกเพียง 1 วันก็เที่ยวได้ทั้งภูเก็ตแบบสบาย ๆ
หัวใจหลักของนักเดินทาง หรือแม้แต่นักท่องเที่ยว นั่นก็คือการได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัส และชื่นชม และบอกเล่าสิ่งที่รู้ ที่เห็น ที่สัมผัส ผ่านทางภาพถ่าย หลายคนต้องไปรู้ ไปเห็น ไปสัมผัส และชื่นชมให้ได้ด้วยตัวเอง แต่อีกหลายคนแค่ได้เห็นภาพถ่ายจากใครคนหนึ่ง ก็เพียงพอแล้ว มีหลายคนพูดว่าชีวิตเปรียบเหมือนนาฬิกา ที่ต้องเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่จะมีใครอีกกี่คนบ้างที่จะคิดว่าแท้จริงแล้ว “ชีวิตเปรียบเหมือนพระอาทิตย์ ที่ต้องขึ้นและตก เมื่อถึงเวลา”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น