บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร

                 
 วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นวัดที่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์และเป็นวัดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นที่รู้จักของประชาชนชาวไทยโดยทั่วไป ในฐานะที่เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากวัดหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 14 กิโลเมตร อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,053 เมตร อยู่ในเขตตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่  

  องค์พระเจดีย์ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า ดอยสุเทพ แต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของฤาษี มีนามว่า สุเทวะ เป็นภาษาบาลี มีความหมายว่า เทพเจ้าที่ดี ซึ่งตรงกับความหมายของคำว่า สุเทพ นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงได้ ชื่อว่า ดอยสุเทพ ซึ่งมาจากชื่อของฤๅษี คือสุเทวะฤาษี


ตามประวัติได้แจ้งว่า เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19 พระเจ้ากือนา ได้ทรงสร้างวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารไว้บนยอด เขาดอยสุเทพ โดยได้นำเอาพระบรมธาตุ ของพระพุทธเจ้า ที่พระมหาสวามี นำมาจากเมืองปางจา จังหวัดสุโขทัย บรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์พระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร นอกจากจะเป็นวัดที่มีความสำคัญมากแล้ว ยังเป็นพระอารามหลวง 1 ใน 4 ของจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย (พระอารามหลวงหมายถึง วัดที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเจาอยู่หัวฯ) ชาวเชียงใหม่เคารพนับถือพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารมาก เสมือนหนึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาแต่โบราณกาล  


นสมัยก่อน การขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน เพราะไม่มีถนนสะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ทางเดินก็แคบๆ และ ไม่ราบเรียบ ต้องผ่านป่าเขาลำเนาไพร และปีนเขาต้องใช้เวลายาวนานถึง 5ชั่วโมงกว่า จนมีคำกล่าวขานกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า ถ้าไม่มีพลังบุญและศรัทธาเลื่อมใสจริงๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้กราบไหว้พระธาตุดอยสุเทพ 

 
ในปี พ.ศ.2477 (ค.ศ.1934) ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย มาจากวัดบ้านปาง จังหวัดลำพูน เป็นผู้เริ่มดำเนินการสร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ โดยมีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สมัยนั้น เป็นผู้เริ่มขุดดินด้วยจอบเป็นปฐมฤกษ์ ตรงที่หน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ปัจจุบัน ใกล้ๆ กับบริเวณน้ำตกห้วยแก้ว โดยเริ่มสร้างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2477

                         บันไดนาค วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2453 - 2463

บันใดนาค เป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของวัดพระธาตุดอยสุเทพ มีความงดงามทางด้านศิลปะที่ทรงคุณค่า และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยวผู้มานมัสการพระบรมธาตุ มักจะต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ด้านของบันใดนาค ซึ่งมีทัศนียภาพงดงามและมีเสน่ห์เมื่อมองขึ้นไปตามขั้นใด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนครั้งแรก มักจะเดิน ขึ้นหรือเดินลงบันใดนาคเสมอ แต่ส่วนใหญ่มักจะเดินลง ส่วนตอนขึ้นนั้นมักจะขึ้นทางลิฟท์หรือรถรางไฟฟ้า


รถ รางไฟฟัาได้นำมาใช้บริการประชาชนผู้สูงอายุมานานกว่า 10 ปี ตอนแรกๆ ก็ใช้เพียงขนของสัมภาระขึ้น-ลงพระธาตุเท่านั้น ต่อมาภายหลังได้ทำการปรับปรุงระบบความปลอดภัยให้ดีขึ้น จึงให้้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มีอายุการใช้งานรถรางไฟฟ้านานมาก แล้ว ทางวัดจึงได้ทำการปรับปรุงและพัฒนาครั้งใหญ่เพื่อจะนำมาเสริมสร้างบริการที่ ดี และปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวด้วยความมั่นใจยิ่ง

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แหลมพรมเทพ

  แหลมพรมเทพ
“ชีวิตเปรียบเหมือนพระอาทิตย์ ที่ต้องขึ้นและตก เมื่อถึงเวลา” 


     ทริปนี้หมูหิน.คอมพาตะลุย เกาะภูเก็ตกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าภูเก็ตเป็นเมืองไข่มุกแห่งอันดามัน เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย หรือชาวต่างชาติ ต่างมุ่งหวังที่จะไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต อีกทั้งภูเก็ตยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยทัศนียภาพที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นทะเลใส หาดทรายขาว ฟ้าสีคราม และภูเขาเขียวขจี แล้ว ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจของทุกคนที่ไปเยือนเมือง ภูเก็ต นั่นก็คือ “แหลมพรหมเทพ”
หากพูดถึงแหลมพรหมเทพ ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะต่างก็ทราบกันดีว่า ในบรรดาสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่ขึ้นชื่อของเมืองไทย เชื่อแน่ว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ คงต้องนึกถึง  “ แหลมพรหมเทพ ” ที่จังหวัดภูเก็ต แน่นอน เพราะมีหลายสิ่งที่แตกต่างไปจากที่อื่นๆ เช่นจุดชมวิวอยู่บนชะง่อนเขา ซึ่งมองเห็นทะเลอันเวิ้งว้างได้รอบทิศ และบริเวณนั้นก็ยังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม เป็นภาพที่มีเสน่ห์มนต์ขลังชวนให้หลงใหล และเก็บบันทึกไว้ทั้งในแผ่นฟิลม์และในความทรงจำอย่างแน่นอน  


 แหลมพรหมเทพ เป็นแหลมที่อยู่ใต้สุดของเกาะภูเก็ต ซึ่งห่างจากตัวเมืองภูเก็ต ประมาณ 19 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นแหลมโค้งไล่ระดับทอดตัวสู่ท้องทะเล โดยรอบข้างแวดล้อมไปด้วยต้นตาลที่ขึ้นแทรกอยู่เรียงรายและต้นหญ้าทั้งน้อย ใหญ่ที่พัดพลิ้วด้านขวาเป็นหาดในหานและเกาะมัน ส่วนด้านซ้ายจะมองเห็นหาดในยะซึ่งเป็นหาดเล็ก ๆ  โดยทั่วไปบรรดานักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเที่ยวหรือพักที่หาดใดก็ตาม  พอช่วงใกล้เย็น ๆ ต่างก็มีจุดหมายที่จะมาชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด ที่แหลมพรหมเทพ และจะโชคดีมากกว่านั้นหากมาชมในวันที่อากาศดี ท้องฟ้าเปิด มีเมฆน้อย บรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ ก็จะยิ่งสวยงามเป็นสองเท่า 
  แหลมพรหมเทพถือว่าเป็นสถานที่โรแมนติกแห่งหนึ่งของเกาะ ภูเก็ต หลายคู่มักชวนกันมานั่งชมพระอาทิตย์ตก ดื่มด่ำกับบรรยากาศในยามเย็นที่มองเห็นระลอกคลื่นแต่ไกล  น่าอิจฉาจังเพราะทริปนี้หมูหิน.คอมมาเดี่ยวแบบว่าไร้คู่ชูชื่น จึงได้แต่นั่งหยุดความคิดเรื่องต่าง ๆ จดจ่ออยู่แค่การมองไปข้างหน้า เห็นแสงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำทะเลทำให้เกิดแสงระยิบระยับจับตา บวกกับการปลดปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยขึ้นบนท้องฟ้าประหนึ่งว่าเป็นนกที่กำลังบิน สูดลมหายใจเข้าแบบเต็มปอด เพื่อเพิ่มกำลังใจ 
      ในระหว่างที่กำลังนั่งมองคลื่นทะเลอยู่นั้น นักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น จากความเงียบก็เริ่มมีเสียงเจี้ยวจ้าว มันคงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ไม่ว่าใครที่ขึ้นมาเห็นภาพที่น่าประทับใจ ก็ย่อมปลดปล่อยมันออกมา  สักพักก็เริ่มมีผู้คนเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ในใจก็เลยคิดว่าจะเก็บภาพนิ่งยามพระอาทิตย์ตกไปฝากเพื่อน ๆ ชาวหมูหิน หรือว่าจะถ่ายวิดีโอดี คิดไปคิดมา สายตาก็หันไปเห็นโขดหินใหญ่ ๆ ที่อยู่ปลายสุดของแหลมพรหมเทพ ก็เลยนึกออกว่ามาแหลมพรหมเทพทั้งที ก็น่าจะไปยืนอยู่ ณ ปลายสุดของพื้นดินที่เชื่อมต่อไปยังทะเล ไม่รอช้าหมูหิน.คอมก็เลยเดินลงไปยังโขดหินสุดท้าย และเอื้อมมือไปแตะน้ำทะเล และนี่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่าการรอชมพระอาทิตย์ตกดิน 

  นอกจากความสวยงามต่าง ๆ ที่เราสามารถเก็บบันทึกไว้เป็นภาพประทับใจแล้ว แหลมพรหมเทพยังมีสิ่งก่อสร้างอีกอย่างก็คือ ประภาคาร เป็นหอคอยสูง ช่วงกลางคืนจะเปิดไฟส่องวับวาบ ให้สัญญาณกับเรือที่กำลังแล่นอยู่กลางทะเล  ประภาคารนี้ได้สร้างขึ้นมาใหม่ในช่วงเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษก 50 ปี มีชื่อว่า “ ประภาคารกาญจนาภิเษก ” และตรงจุดนี้ก็เป็นที่รายงานเวลาพระอาทิตย์ตกของประเทศ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยอีกด้วย 

สำหรับใครที่มาเที่ยว แหลมพรหมเทพแล้ว นอกจากเก็บภาพความประทับใจ ก็ยังสามารถซื้อหาของฝาก ของที่ระลึกได้ เพราะมีร้านค้าทั้งน้อยใหญ่ มากมายมีทั้งรูปภาพ โปรสการ์ด เสื้อยึดสกรีนลายแหลมพรหมเทพ มีทั้งสีขาว สีดำให้เลือกตามใจชอบ หมูหิน.คอมก็เลยอดไม่ได้ที่จะควักเงินในกระเป๋ามาซื้อเสื้อยึดสีดำสกรีนลาย แหลมพรหมเทพ  แต่ใครที่คิดว่ามาแหลมพรหมเทพแล้วจะหิวก็ ไม่ต้องกังวล เพราะมีร้านขายอาหารทะเลแบบว่าสด ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นจากทะเล ตรงดิ่งสู่แหลมพรหมเทพกันเลย ไม่ว่าจะกุ้ง ปลาหมึก ปลา หอย ก็มีให้กินกัน  


การเดินทางมายังแหลมพรหมเทพ ส่วนมากจะมาโดยรถยนต์ส่วนตัว หรือมาเป็นแบบคณะทัวร์  หากมีเวลาประมาณ 1 วัน  หมูหิน.คอมแนะนำให้เช่ามอเตอร์ไซค์เที่ยวดีกว่า เพราะสามารถขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวเลาะตามหาดต่าง ๆ ทั่วทั้งภูเก็ต โดยใช้หลักการเดินทางง่าย ๆ คือ ขับวนซ้าย หรือวนขวาตลอดเส้นทาง หลังจากเที่ยวครบทุกหาด ก็ไปจบที่แหลมพรหมเทพ  ขอบอกเพียง 1 วันก็เที่ยวได้ทั้งภูเก็ตแบบสบาย ๆ  
  หัวใจหลักของนักเดินทาง หรือแม้แต่นักท่องเที่ยว นั่นก็คือการได้รู้  ได้เห็น ได้สัมผัส และชื่นชม และบอกเล่าสิ่งที่รู้ ที่เห็น ที่สัมผัส ผ่านทางภาพถ่าย หลายคนต้องไปรู้ ไปเห็น ไปสัมผัส และชื่นชมให้ได้ด้วยตัวเอง แต่อีกหลายคนแค่ได้เห็นภาพถ่ายจากใครคนหนึ่ง ก็เพียงพอแล้ว  มีหลายคนพูดว่าชีวิตเปรียบเหมือนนาฬิกา ที่ต้องเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่จะมีใครอีกกี่คนบ้างที่จะคิดว่าแท้จริงแล้ว “ชีวิตเปรียบเหมือนพระอาทิตย์ ที่ต้องขึ้นและตก เมื่อถึงเวลา”  
 

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เขาตะปู,เขาพิงกัน

เขาตะปู , เขาพิงกัน

   เขาตะปูู มีลักษณะเป็นแท่งหินใหญ่มหึมาโดดเด่นปักอยู่ในทะเลบริเวณปากอ่าวพังงาใกล้ๆ กับเขาพิงกัน ซึ่ง
เมื่อมองจากระยะไกลแล้ว จะเห็นมีลักษณะคล้ายกับตะปูขนาดยักษ์ถูกตอกลึกลงไปในน้ำ อย่างไรก็ตามเขาตะปูเป็น ภูเขาที่มีอันตรายห้ามเข้าใกล้เนื่องจากส่วนที่จมอยู่ใต้ทะเลได้ถูกน้ำทะเล กัดเซาะ เป็นเวลานานนับล้านปี จึงสึกกร่อน
และมีขนาดเล็กกว่าส่วนบน มากมายหลายเท่า จนมีความกลัวกันว่าอาจล้มลงมาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ทางราชการ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้ห้ามนักท่องเที่ยวล่องเรือเข้าไปดูใกล้ๆ โดยเด็ดขาด เนื่องจากเกรงว่าจะ
ได้รับอันตรายดังกล่าว เขาตะปูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง จนมีภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาถ่ายทำที่เกาะตะปูนี้ ในปี
พ.ศ. 2517 ภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ตอนเพชฌฆาตปืนทอง (The Man with the Golden Gun) และเกาะตะปู ยังได้รับการขนานนามอีกชื่อหนึ่งว่า "James Bond Island" อีกด้วย

 

 เขาพิงกัน  มีลักษณะเป็นเกาะเล็กๆ บริเวณปากอ่าวพังงาเช่นเดียวกัน ขนาดย่อมกว่าเกาะปันหยี เขาพิงกันเป็น
ภูเขาที่มีลักษณะพิเศษแปลกตากแตกต่างจากภูเขาอื่นใดทั้งสิ้น โดยมีลักษณะเป็นภูเขาสองลูกที่แนบยึดติดกัน เป็น
แนวเส้นตรงจากยอดเขาสู่ตีนเขา ผู้คนที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมเขาพิงกันต่างพากันสันนิษฐานว่าในอดีตกาล คาดว่าจะ
เป็นภูเขาลูกเดียวกันแต่ได้ถูกฟ้าผ่าหรือสายฟ้าฟาดอย่างปราณีตจนแยกภูเขาดังกล่าวออกเป็นสองลูกที่แนบชิดติดกัน
หรือพิงกัน หรืออาจเกิดจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ภูเขาดังกล่าวเกิดรอยร้าวหรือปริแยก
เป็นสองส่วน ที่มีลักษณะคล้าย ถูกของมีคมตัดเป็นเส้นตรงจากยอดเขาสู่ตีนเขา แต่ยังไม่ได้ถูกแยกออกจากกันกลับถูก
ปล่อยให้ยังคงแนบชิดติดกัน จนถูกเรียกว่า เขาพิงกัน

ที่มาและลักษณะ

เกาะตะปู เป็นเขาหินปูน (Limestone) มีอายุยุคเพอร์เมียน (Permian) หรือประมาณ 295-250 ล้านปี เนื่องจากหินปูนมีคุณสมบัติสึกกร่อนจากการละลายน้ำได้ง่าย ดังนั้นเกาะต่าง ๆ ในบริเวณอ่าวพังงาจึงมีรูปร่างแปลก ๆ และมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการผุพังทำลายของเนื้อหิน
กำเนิดของเกาะตะปูมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสมัย โบราณ เดิมเกาะตะปูและเกาะเขาพิงกันด้านตะวันออกมีสภาพเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน และอยู่บนผืนแผ่นดิน การเคลื่อนไหวของเปลือกโลกในเวลาต่อมา ทำให้เกิดมีรอยเลื่อนใหญ่เป็นแนวยาวพาดผ่านพื้นที่อ่าวพังงาด้านตะวันตก เรียกว่ารอยเลื่อนคลองมะรุ่ย รอยเลื่อนนี้ทำให้เกิดรอยเลื่อนย่อย ๆ ติดตามมาดังจะเห็นได้จากรอยเลื่อนที่เขาพิงกัน รอยเลื่อน รอยแตก และรอยแยกที่พบในหินปูนเกาะตะปู นอกจากนั้น รอยเลื่อนยังทำให้เกิดการหักพังของหินขึ้นในบริเวณรอยต่อระหว่างเขาตะปูและ เขาพิงกันทางด้านตะวันออก ทำให้เขาตะปูแยกออกมาเป็นเขาลูกโดด
แผ่นดินเขาตะปูและเขาพิงกันได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลที่แผ่ขยายเข้ามาท่วม ในช่วงหลังสุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่ผ่านมา ทำให้พื้นที่เขาพิงกัน และเขาตะปูมีสภาพเป็นเกาะ โดยบริเวณเขาตะปูเป็นหัวแหลมยื่นออกไปในทะเล ต่อมาหัวแหลมถูกคลื่นกัดเซาะและขัดเกลา จนกระทั่งมีรูปทรงเรียวและขาดออกจากตัวเขาพิงกันตะวันออกอย่างเด่นชัด มีสภาพเป็นเกาะหินโด่ง
น้ำทะเลที่ขึ้นสูงสุดเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่ผ่านมา มีระดับสูงกว่าระดับปัจจุบันประมาณ 4 เมตร การขึ้นลงของน้ำทะเล ได้กัดเซาะเกาะตะปูให้เกิดเป็นแนวรอยน้ำเซาะหิน เว้าเข้าไปที่ระดับดังกล่าว ต่อมาน้ำทะเลลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 2.5 เมตร จากระดับน้ำทะเลปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลใหม่ได้กัดเซาะส่วนล่างของเกาะตะปูให้เกิดเป็นรอยน้ำเซาะหินแนว ใหม่ คือ ระดับที่เป็นส่วนคอดกิ่วที่สุด และเป็นบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตเช่น หอย เพรียง เกาะอาศัยอยู่โดยรอบเมื่อได้นำซากหอยนางรมที่ติดอยู่ในแนวรอยกัดเซาะนี้ไปหา อายุโดยวิธีคาร์บอนรังสี (C14) ได้อายุประมาณ 2,620 + 50 ปี แสดงว่ารอยคอดกิ่วนี้เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลเมื่อเวลาประมาณ 2,500 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นน้ำทะเลจึงลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับปัจจุบัน ส่วนที่คอดกิ่วที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ทำให้เกาะตะปูมีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศ
เกาะตะปูมีปัญหาการพังทลาย อันเกิดจากการกัดเซาะกัดเซาะของน้ำทะเล การขุดเจาะเนื้อหินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์จำพวกหอยนางรม เพรียง ปู ฯลฯ ความแรงของคลื่นลมในฤดูมรสุม การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลก เนื่องจากปฏิกิริยาเรือนกระจกอันอาจมีผลให้คลื่นลมเปลี่ยนความเร็ว และสุดท้ายคือการ ถูกรบกวนด้วยกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การจอดเรือโดยการทิ้งสมอการผูกเรือไว้รอบเกาะ รวมทั้งคลื่นจากเรือหางยาวที่วิ่งรอบเกาะ

หมู่เกาะพีพี

 หมู่เกาะพีพี

 เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดย Kapook.com

          กระบี่... เมืองชายทะเลในฝัน งดงามด้วยหาดทรายสีขาว น้ำทะเลใสๆ ปะการังแสนสวย ถ้ำโตรกชะโงกผา และหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 100 เกาะ รวมกันเป็นมนต์เสน่ห์ที่สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือน จังหวัดกระบี่... ทว่ามาเยือนกระบี่ทั้งที หากใครไม่ได้ไปเที่ยว "หมู่เกาะพีพี" ก็เหมือนมาไม่ถึงกระบี่นะคะ งั้นวันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับ "หมู่เกาะพีพี" กันให้มากขึ้น เผื่อวันไหนมีโอกาสได้ไป จะได้นำไปเป็นข้อมูลวางแผนโปรแกรมในการท่องเที่ยวได้ค่ะ 
          "หมู่เกาะพีพี" เป็นหมู่เกาะกลางทะเล อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 42 กิโลเมตร เดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า "ปูเลาปิอาปิ" คำว่า "ปูเลา" แปลว่า เกาะ คำว่า "ปิอาปิ" แปลว่า ต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม และโกงกาง ต่อมาเรียกว่า "ต้นปีปี" ซึ่งภายหลังกลายเสียงเป็น "พีพี" ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งบุปผาใต้สมุทร นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหมู่เกาะนี้ ส่วนใหญ่มาเพื่อดำน้ำดูปะการัง ดอกไม้ทะเล และปลาหลากสีที่มีสีสันสวยงาม นอกจากนี้ ยังมีเกาะต่างๆ ที่อยู่ระหว่างเส้นทางเดินเรือ กระบี่ – ภูเก็ต - หมู่เกาะพีพี ประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีเล เกาะพีพีดอน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะบิดะนอก และเกาะบิดะใน ว่าแล้ว... เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของหมู่เกาะพีพีมีที่ไหน กันบ้าง... 

         เริ่มกันที่ "เกาะพีพีดอน" มีพื้นที่ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร จุดเด่นของเกาะคือ เวิ้งอ่าวคู่ที่มีความสวยงามติดอันดับโลกของอ่าวต้นไทรและอ่าวโละดาลัม ทั้งนี้ อ่าวต้นไทรเป็นที่ตั้งของท่าเรือเกาะพีพี และมีสถานที่พักและร้านค้าจำนวนมาก จากอ่าวต้นไทรสามารถเดินขึ้นเขาไปยังจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวคู่ ได้ อย่างไรก็ตาม เกาะพีพีดอนยังมีหาดทรายและอ่าวที่สวยงามกระจายอยู่รอบเกาะ บางแห่งมีที่พักบริการ เช่น หาดแหลมหิน หาดยาว อ่าวโละบาเกา ทางเหนือของเกาะคือ แหลมตง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวเลประมาณ 15 - 20 ครอบครัว ส่วนใหญ่อพยพมาจากเกาะลิเป๊ะ ในอุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่จังหวัดสตูล บริเวณแหลมตงมีธรรมชาติใต้ทะเลที่สวยงามและบนหาดยังมีที่พักไว้ให้บริการแก่ นักท่องเที่ยวอีกด้วย

   "เกาะพีพีเล" มีพื้นที่เพียง 6.6 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาหินปูน มีหน้าผาสูงชันตั้งฉากกับผิวทะเลโดยรอบเกือบทั้งเกาะ มีพื้นน้ำลึกเฉลี่ยประมาณ 20 เมตร มีบริเวณน้ำลึกที่สุดประมาณ 34 เมตรอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ เกาะแห่งนี้มีเวิ้งอ่าวสวยงาม อาทิ อ่าวปิเละ อ่าวมาหยา อ่าวโละซามะ นอกจากนี้ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือยังมีถ้ำไวกิ้ง เมื่อปี พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จประพาสถ้ำแห่งนี้ และทรงพระราชทานนามใหม่ว่า "ถ้ำพญานาค" ตามรูปร่างหินก้อนหนึ่งที่คล้ายเศียรพญานาค อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านที่มาเก็บรังนกนางแอ่นบนเกาะแห่งนี้ ภายในถ้ำทางทิศตะวันออกและทิศใต้ พบภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์ เป็นรูปช้างและรูปเรือชนิดต่างๆ เช่น เรือใบยุโรป เรือใบอาหรับ เรือสำเภา เรือกำปั่น เรือใบใช้กังหัน และเรือกลไฟ เป็นต้น สันนิษฐานว่าภาพเขียนเหล่านี้เป็นฝีมือของนักเดินเรือหรือพวกโจรสลัด เพราะจากการศึกษาเส้นทางเดินเรือจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออก บริเวณนี้อาจเป็นจุดที่เรือสามารถแวะพักหลบลมมรสุมขนถ่ายสินค้าหรือซ่อมแซม เรือได้ 

 "เกาะยูง" ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน มีชายหาดเป็นหาดหินอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และมีหาดทรายเล็กน้อยตามหลืบเขา นอกจากนี้ ยังมีแนวปะการังสวยงามชนิดต่างๆ และ "เกาะไม้ไผ่" ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน ไม่ไกลจากเกาะยูงเท่าใดนัก ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกมีหาดทรายสวยงาม และแนวปะการัง ซึ่งส่วนมากเป็นแนวปะการังเขากวางทอดยาวไปถึงทางทิศใต้ของเกาะ นอกจากนี้ บนเกาะยังมีสถานที่กางเต็นท์ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย

การเดินทางไปหมู่เกาะพีพี 


นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังหมู่เกาะพีพีได้ทั้งจากกระบี่และภูเก็ต จากท่าเรือจิหลาด ในตัวเมืองกระบี่ มีเรือโดยสารออกจากกระบี่ไปเกาะพีพี วันละ 2 เที่ยว เวลา 10.00 น. และ 15.00 น. และจากเกาะพีพีกลับกระบี่ เรือออกเวลา 09.00 น. และ 14.00 น. ค่าโดยสารคนละ 350 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่ง และมีเรือเร็วนำเที่ยวเช้าไปเย็นกลับ ออกจากอ่าวนาง เวลา 09.00 น. และกลับเวลา 17.00 น. 
          ส่วนการเดินทางจากภูเก็ตมีเรือนำเที่ยวเกาะพีพี แบบเช้าไปเย็นกลับ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไปในตัวเมืองภูเก็ต นอกจากนี้ บริเวณอ่าวต้นไทรบนเกาะพีพีดอน ยังมีเรือหางยาวให้เช่าไปเที่ยวตามชายหาดต่างๆ รวมถึงเกาะพีพีเลด้วย

          ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่... การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดกระบี่ โทร. 0 – 7562 - 2163, สำนักงานจังหวัด โทร.0 – 7561 – 1381 และประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร. 0 – 7561 – 2611

วังน้ําเขียว

                                          สูดโอโซนอันดับ 7 ของโลก ที่ "วังน้ำเขียว"


คมชัดลึก :ถ้า พูดถึง "วังน้ำเขียว" ที่หลายคนเรียกว่า "สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย" และก็ต้องนึกเลยไปถึงอากาศสดชื่น เหมือนยืนอยู่บนเนินเขา เพราะวังน้ำเขียวเป็นแหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก โดยมีการวัดกันที่ มณฑลชีวสงวน สะแกราช โดยองค์การยูเนสโก ใครที่ชอบธรรมชาติ ชอบดอกไม้ ชอบผักปลอดสารพิษสดๆ องุ่นหวานๆ จากไร่ เห็ดสารพัดชนิด ต้องที่นี่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
   ปิดเทอมเดือนตุลาคมปีนี้ หลายครอบครัวกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนให้แก่ลูกหลาน อากาศดีๆ มีกิจกรรมสร้างสรรค์ให้เด็กๆ ได้สนุกสนานกัน พร้อมเรียนรู้ธรรมชาติไปในตัว ที่ วังน้ำเขียว มีกิจกรรมดีๆ แบบนี้มากมาย การเดินทางสู่วังน้ำเขียวสะดวกสบาย ไปได้หลายทาง ถ้าจากกรุงเทพฯ ก็วิ่งตรงไปโคราช แล้วขึ้นวังน้ำเขียวด้านถนนเขาแผงม้า ตลอดทางเต็มไปด้วยธรรมชาติ ไร่ข้าวโพด ไร่มันสำปะหลัง ไร่มะขาม ไร่ข้าวฟ่าง ไร่ดอกดาวเรือง ฯลฯ หรือจะขึ้นทาง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี หรือจะเข้าทาง อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ก็ได้ ระยะทางทุกเส้นแตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันก็คือ ธรรมชาติที่ยังคงมีให้เห็น โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน ที่แม้จะมีฝนตกบ้าง แต่ความสดชื่นเขียวขจี ก็มีให้เห็นตลอดทาง ถือเป็นการพักสายตากับสีเขียวๆ ของต้นไม้ ก่อนที่จะเริ่มท่องเที่ยวเชิงเกษตรกันทั้งครอบครัว
 สถาน ที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของวังน้ำเขียว ส่วนมากก็จะเป็นสวนผักปลอดสารพิษ อย่าง "สวนลุงไกร" หรือจะเป็น "สวนผักปลอดสาร ป.ปราการ" ที่มีห้างใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ มารอรับซื้อถึงไร่ นอกจากนี้ เจ้าของไร่ยังใจดี ยอมให้นักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้าไปชมผัก ตัดผักปลอดสารพิษในแปลงกันสดๆ นอกจากนี้ ก็ยังมี สวนดอกหน้าวัวและไร่องุ่นของ "สวนสุชาดา" แวะชมความงามของ "ผาตก" อุทยานแห่งชาติทับลาน พร้อมๆ กับการปลูกป่าเพิ่มจำนวนต้นไม้ให้แก่ธรรมชาติอีกคนละต้นสองต้น บอกลากลางวันพร้อมกับดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้ากันที่ผาตก

 เช้า รุ่งขึ้น แวะไหว้พระองค์ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล ที่วัดท่าซุง สาขา 9 พร้อมชมความสวยงามและเงียบสงบของ "ศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านไร่ปลายตะวัน" แล้วแวะไปเที่ยว "น้ำตกสวนห้อม" ที่มีน้ำให้เล่นได้อย่างสนุกสนาน ก่อนเดินทางกลับ แวะซื้อสารพัดเห็ดที่ฟาร์มเห็ด "มิสเตอร์มัชรูม" (Mister Mushroom) มีทั้งเห็ดออรินจิ เห็ดหอมสด เห็ดโคน เห็นหลินจือ เห็ดหัวลิง ทั้งแบบสด และสำเร็จรูป ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ก็ยังมีร้านขายผัก ผลไม้ และของฝากให้เลือกซื้อกันตลอดทาง โดยเฉพาะ "องุ่นวังน้ำเขียว" องุ่นดำไร้เม็ด รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ที่กำลังออกผลพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวในช่วงนี้พอดี

ฮิล ฮัท แคมปิ้ง วังน้ำเขียว
 ใน บริเวณวังน้ำเขียว มีรีสอร์ทให้เลือกพักมากมาย แต่ถ้าต้องการความสงบ ไม่พลุกพล่าน ที่ "ฮิล ฮัท แคมปิ้ง วังน้ำเขียว" ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ คุณคารอส โนบุ ฮีโร่ โฮอาชิ (คุณโนบุ) และ คุณอุไรวรรณ โฮอาชิ (คุณเปิ้ล) เจ้าของรีสอร์ทที่เพิ่งมาเริ่มธุรกิจท่องเที่ยวเมื่อต้นปีนี้เอง ด้วยความที่คุณโนบุเป็นชาวญี่ปุ่นที่รักธรรมชาติ ในขณะที่คุณเปิ้ลก็เป็นคนโคราชโดยกำเนิด คุณโนบุอยากมีบ้านที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติสักหลังที่โคราช เพื่อพักผ่อนเวลาที่เดินทางกลับมาเมืองไทย รวมทั้งศึกษาพบว่า พื้นที่วังน้ำเขียวเป็นแหล่งโอโซนที่ดีที่สุดของเมืองไทย จึงตัดสินใจหาซื้อที่เพื่อปลูกบ้านเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แต่ในที่สุดบ้านพักต่างอากาศที่ตั้งใจไว้ ก็กลายเป็น ฮิล ฮัท แคมปิ้ง วังน้ำเขียว ในปัจจุบัน
 ที่ ฮิล ฮัท แคมปิ้ง วังน้ำเขียว นอกจากจะบรรยากาศดี บ้านพักกะทัดรัด สะอาดสะอ้าน มีลานสำหรับกางเต็นท์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ มีบ่อเลี้ยงปลาที่ผู้พักสามารถตกปลาขึ้นมาให้แม่ครัวของรีสอร์ทประกอบอาหาร ตามต้องการได้ทันที อีกทั้งอยู่ใกล้กับสวนผักและแหล่งท่องเที่ยวอย่าง ไร่ลุงไกร สวนผักป.ปราการ สวนสุชาดา และผาตก อนาคตอันไกลนี้ คุณโนบุบอกว่า จะทำสนามบีบีกัน (BB Gun) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ชอบกิจกรรมเอ็ดเวนเจอร์ สนุกท้าทาย นอกจากที่พักดี ธรรมชาติห้อมล้อม บรรยากาศดีแล้ว ที่นี่ยังมีอาหารอร่อยไว้ต้อนรับผู้มาเยือนด้วย คุณเปิ้ลเคยเป็นผู้ช่วยพี่สาวเปิดร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นมาก่อน ทำให้คุณเปิ้ลมีฝีมือทางด้านอาหารนานาชาติ ทั้งอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น และอาหารฝรั่ง อาหารแนะนำที่คุณเปิ้ลบอกว่า มาแล้วต้องรับประทาน ไม่เช่นนั้นแสดงว่ามาไม่ถึงวังน้ำเขียว ก็คือ ยำเห็ด 3 อย่าง ส้มตำเห็ดโคน ต้มยำกุ้งเห็ด 3 อย่าง เทมปุระเห็ดหอมสด ผัดหมี่โคราช แหนมเห็ด สเต๊กเห็ดออรินจิ พิซซ่า และหมูสะเต๊ะสูตรคุณแม่ ที่คุณแม่ของคุณเปิ้ลทำเป็นอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวมาตลอด
ที่ ติดใจมากๆ เห็นจะเป็น ยำเห็ด 3 อย่าง ที่ประกอบด้วย เห็ดออรินจิ เห็ดโคน และเห็ดหอมสด ที่นำไปลวก ยำรวมกับหอมใหญ่ มะเขือเทศท้อสดๆ ต้นหอม ต้นขึ้นช่าย ปรุงน้ำยำด้วยน้ำปลา มะนาว น้ำตาลเล็กน้อย และพริกขี้หนูตำหยาบๆ ออก 3 รส เปรี้ยว หวาน เค็ม กินเล่นๆ หรือกินกับข้าว ก็อร่อยไม่แพ้กัน อร่อยสุดๆ กับความสดของเห็ดที่ไปซื้อจากฟาร์มแล้วนำมาปรุงทันที
 เทมปุระ เห็ดหอมสด ที่นำเห็ดหอมสดลวกน้ำร้อนแล้วมาชุบแป้งเทมปุระสูตรแท้และดั้งเดิมจากญี่ปุ่น ทอดในน้ำมันร้อนๆ จิ้มกับซีอิ๊วญี่ปุ่น หรือมายองเนสสูตรญี่ปุ่น อร่อยแบบไม่มีที่ติเลย กินเล่นเป็นของว่างก็ได้ หรือจะกินพร้อมกับกับข้าวอื่นๆ ก็อร่อยได้เช่นกัน
 หมู สะเต๊ะสูตรคุณแม่ ที่คุณเปิ้ลบอกว่า หมูสเต๊ะนี่แหละที่คุณแม่ทำเลี้ยงคุณเปิ้ลและพี่น้องมาจนโต เรียนหนังสือจบสูงๆ กันทุกคน เป็นหมูสะเต๊ะที่เลือกแต่เนื้อหมูล้วนๆ ไม่ปนมัน หมักตามสูตรคุณแม่จนได้ที่ เนื้อนุ่ม ไม่เหนียวแต่ก็ไม่ถึงกับเปื่อยยุ่ย จิ้มกับน้ำจิ้มสะเต๊ะรสกลมกล่อม ไม่มันจนเกินไป และอาจาด 3 รส ที่อร่อยตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย
 ผัด หมี่โคราช ซึ่งเป็นอาหารประจำจังหวัด ไปโคราชไม่ได้กินผัดหมี่โคราช แสดงว่าไปไม่ถึงโคราช เพราะเป็นเส้นหมี่เฉพาะที่นุ่มอร่อย เวลาผัดไม่เหนียวหรือพันกันเป็นก้อน ผัดกับน้ำราดสูตรพิเศษที่มีเฉพาะที่โคราชเท่านั้น ออกเปรี้ยว หวาน เค็ม และเผ็ดในตัว เรียกว่า ไม่ต้องอะไรอีกแล้ว สามารถกินได้ทันทีโดยไม่ต้องปรุง รสชาติจะแตกต่างกับผัดไทยทั่วไป รับรองติดใจ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร รับโอโซนยามเช้า ท่ามกลางบรรยากาศหุบเขาห้อมล้อม ดูหิ่งห้อยยามค่ำคืน รับประทานอาหารสุขภาพ ผักปลอดสารพิษ ที่นี้ ฮิล ฮัท แคมปิ้ง วังน้ำเขียว

 

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง


        ว่ากันว่า....หากอยากพิสูจน์รักแท้ ให้พาคนที่เรารักไปร่วมพิสูจน์รักด้วยการเดินทางพิชิตยอดภูของอุทยานแห่ง ชาติภูกระดึง และถ้าหากเขาคนนั้น สามารถร่วมเดินทางไปกับคุณจนกระทั่งถึงยอดดอย และคอยช่วยเหลือดูแลกันและกัน เป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ เขาก็คือรักแท้ของเราเป็นแน่แท้!!!

    ... นี่คือตำนานคำกล่าวขานที่มักได้ยินเสมอๆ เมื่อเอ่ยถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการที่เราจะขึ้นไปถึงยอดดอยได้ ต้องเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร คือขึ้นเขา 5 กิโลเมตร บวกทางราบอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร (โห...ไหวไหมเนี่ย) ซึ่งนอกจากจะมีคู่รักไปสัมผัสพิสูจน์รักแท้แล้ว ภูกระดึงมักจะได้รับความนิยมในการไปแบบกลุ่มเพื่อนๆ อีกด้วย และทุกคนที่ได้ไปสัมผัสต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนเดินเหนื่อยมากๆ แต่พอได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติข้างบนภูกระดึงแล้วคุ้มค่าสุดๆ  
      แหม ... มีเสียงการันตีความท้าทาย ผจญภัย และน่าไปสัมผัสแบบนี้คงอดใจไม่ได้แล้วที่จะไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภูกระดึง … เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จักอุทยานแห่งนี้พร้อมๆ กันเลยค่ะ
      ภู กระดึง เป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี บนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว ปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึง สักครั้งหนึ่งในชีวิต

     สำหรับ การเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย

     อย่างไรก็ตาม อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย จะเปิดฤดูท่องเที่ยวอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 - 31 พฤษภาคม 2554 หลังปิดฟื้นฟูในช่วงฤดูฝน

 จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนภูกระดึง

           ผานกแอ่น... เป็น ลานหินเล็กๆ มีสนต้นหนึ่ง ขึ้นโดดเด่นอยู่ริมหน้าผา เป็นจุดท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่สำคัญอยู่จากที่พักศูนย์วังกวางเพียง 2 กิโลเมตร ในทุกเช้าของหน้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปกันมากและ มักจะมีการชิงทำเลดีๆ เสมอ สมัยนี้ทางไปมักมีช้างอาละวาด ตอนเช้าจะต้องไปพร้อมเจ้าหน้าที่เสมอ ห้ามไปเอง เป็นอันขาด
          นอก จากนั้น หากอากาศดีพอ ในช่วงเวลาที่เดินเท้าฝ่าความมืดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้น เป็นช่วงที่ประจวบเหมาะกับ เวลาที่พระจันทร์กำลังจะลับขอบฟ้า ด้านตะวันตกนั้นจะได้เห็นภาพสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ ซึ่งจะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือน มีนาคม-เมษายน และใครที่อยากไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย

          ผาหล่มสัก... ถ้าไม่มาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ ก็เหมือนไม่ได้มาเยือนภูกระดึง …หลายคนถึงกับออกปากไว้แบบนั้น ตัวผาหล่มสักอยู่ห่างจากผาแดง 2.5 กิโลเมตร หากเดินมาจากแยกศูนย์โทรคมนาคมกองทัพอากาศ บนเส้นทางน้ำตก แต่ถ้าเดินจากที่พักศูนย์วังกวาง จะมีระยะประมาณ 9 กิโลเมตร หากจะมาต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะขากลับจะมืดกลางทางอย่างแน่นอน
         ด้วย ลักษณะแผ่นหินแปลกตากับโค้งกิ่งสนที่รองรับกันพอดิบพอดีเช่นนี้ นักท่องเที่ยวจึงนิยมจะใช้เป็นจุดชมวิว ดูดวงอาทิตย์ตกดิน และน่าจะถือได้ว่าเป็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของอุทยานแห่งชาติภู กระดึง แนะนำสักนิดสำหรับผู้ที่จะไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

          ผาหมากดูก... อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.5 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตกที่ใกล้ที่พักมากที่สุด สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก

          น้ำตกวังกวาง... ชื่อก็บอกอยู่แล้ว น้ำตกวังกวางอยู่ใกล้ที่พักศูนย์วังกวางมากที่สุด โดยมีระยะทางห่างแค่ราว 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ห้วยเล็กๆ ที่โอบล้อมที่พักอีกด้านจะไหลลงน้ำตกที่นี่ วังกวางเป็นน้ำตกเล็กๆ ชั้นที่สูงสุด จะสูงประมาณ 7 เมตร ด้านข้างของน้ำตกมีทางแคบๆ สำหรับปีนลงไปทีละคน จะพบหลืบหินมีลักษณะคล้ายถ้ำใต้น้ำตกน้ำตกวังกวางจะมีความสวยงามมากในช่วง ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม บริเวณนี้จะมีทากชุม เพราะเป็นด่านช้าง หรือทางช้างเดิน ส่วนในฤดูท่องเที่ยวซึ่งเป็นฤดูแล้ง ปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย นักท่องเที่ยวสามารถแวะชมได้ง่ายใกล้ที่พัก

          น้ำตกถ้ำสอเหนือ... อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดงซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้กับ บริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น

          น้ำตกเพ็ญพบใหม่... เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่าน ลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ

          สระอโนดาด... อยู่ ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.7 กิโลเมตร เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักที่มีต้นสนขึ้นเป็นแนวแน่นขนัด ใกล้กันยังมีลานกินรี ซึ่งเป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา หยาดน้ำค้าง หรือเฟิร์น เช่น กระปรอกสิงห์ บนหินยังมีไลเคนขึ้นอยู่เต็มไปหมดด้วย
         นอก จากที่เอ่ยมาแล้ว อุทยานแห่งชาติภูกระดึงยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น น้ำตกรัตนา น้ำตกถ้ำสอเหนือ น้ำตกพระองค์ น้ำตกธารสวรรค์ ผาแดง ผาส่องโลก ผานาน้อย ผาจำศีล สวนสีดา ลานกินรี ลานวัดพระแก้ว และอีกมากมายบรรยายกันไม่หมด ดังนั้น ใครที่ชอบเดินป่า ปีนเขา และสัมผัสธรรมชาติแบบถึงเนื้อถึงตัว ภูกระดึงคงเป็นอีกหนึ่งสถานที่คุณจะ พลาดไม่ได้ค่ะ
นอกจากที่เอ่ยมาแล้ว อุทยานแห่งชาติภูกระดึงยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น น้ำตกรัตนา น้ำตกถ้ำสอเหนือ น้ำตกพระองค์ น้ำตกธารสวรรค์ ผาแดง ผาส่องโลก ผานาน้อย ผาจำศีล สวนสีดา ลานกินรี ลานวัดพระแก้ว และอีกมากมายบรรยายกันไม่หมด ดังนั้น ใครที่ชอบเดินป่า ปีนเขา และสัมผัสธรรมชาติแบบถึงเนื้อถึงตัว ภูกระดึงคงเป็นอีกหนึ่งสถานที่คุณจะ พลาดไม่ได้ค่ะ

 การเดินทาง


 รถโดยสารประจำทาง

         โดยสาร รถยนต์จากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต) กรุงเทพมหานคร ไปลงที่ผานกเค้า ซึ่งเป็นเขตต่อแดนระหว่างชุมแพ-ภูกระดึง แล้วโดยสารรถประจำทาง(รถสองแถว) ไปลงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จากนั้นก็เดินต่อขึ้นไปยอดภูกระดึงควรใช้รถประจำ หรือหากนักท่องเที่ยวใช้รถประจำทางเส้นทางกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ลงที่ชุมแพ และต่อรถสายขอนแก่น-เลย ไปลงที่ตลาดอำเภอภูกระดึง ซึ่งจะมีรถสองแถวต่อถึงไปอุทยานฯ

         ปล. รถสองแถวแดงที่รับจ้างนำนักท่องเที่ยวส่งระหว่างจุดจอดรถที่ผานกเค้ามาที่ทำ การอุทยานแห่งชาติภูกระดึง คำแนะนำคือ ถ้าเรามาไม่กี่คนให้รวมทีมกับกรุ๊ปอื่นจะได้เฉลี่ยค่าสองแถวไม่ต้องเหมารถ ให้เปลืองสตางค์

 รถไฟ

         จากกรุงเทพ มหานครโดยสารรถไฟไปลงที่ขอนแก่น จากนั้นโดยสารรถประจำทางสายขอนแก่น-เลย ไปยังหน้าตลาดที่ว่าการอำเภอภูกระดึง แล้วต่อรถสองแถว หรือเดินทางต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นปีนเขาขึ้นยอดภู จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นยอดภู อีก 5 กิโลเมตร จึงจะถึง “หลังแป” แล้วเดินเท้าไปตามทุ่งหญ้าอีก 4 กิโลเมตร ก็จะถึงที่พักบนยอดภูกระดึงทางอุทยานฯ ได้จัดลูกหาบสัมภาระของนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนยอดภูกระดึง คิดค่าบริการเป็นกิโลกรัม
 รถส่วนตัว

 
เดินทางโดยรถยนต์ สามารถเดินทางได้หลายเส้นทาง  

         1. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี เพชรบูรณ์ อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า ด่านซ้าย ภูเรือ และอำเภอเมืองเลย เลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 (เลย-ขอนแก่น) และเลี้ยวเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2019 เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 

         2. ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี นครราชสีมา จนถึงจังหวัดขอนแก่นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูผาม่านและตำบลผานกเค้า เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 

         3. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี อำเภอปากช่อง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 201 ผ่านจังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ จากนั้นเดินทางเช่นเดียวกับเส้นทางที่ 2

 ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว   

         มี ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ทั้งบนยอดภูกระดึง และบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ด้านล่าง ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาขอรับบริการข้อมูลได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 8.00 - 16.30 น.

 หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ

         บริเวณ ที่ทำการอุทยานฯ มีด่านเก็บค่าธรรมเนียมผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท และบริการลูกหาบสัมภาระ กิโลกรัมละ 10 บาท นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเต็นท์และบ้านพักได้ที่ที่ทำการอุทยานฯ โทร.0-4287-1333 หรือติดต่อกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร. 0-2562-0760
         ท้าย สุดฝากไว้ สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากไปท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติบนภูกระดึงควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน จึงจะเที่ยวชมธรรมชาติได้ทั่วถึง ซึ่งอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จะเปิดให้เที่ยวบนยอดภูกระดึงได้เฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคมเท่า นั้น  ช่วงระหว่างมิถุนายนถึงกันยายนของทุกปี ทางอุทยานฯ จะปิดเพื่อปรับสภาพธรรมชาติ ให้ฟื้นตัวและปรับปรุงสถานที่พักสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว ฉะนั้นเช็คก่อนออกเดินทางกันด้วยล่ะ

         เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว บรรดาแบคแพ็คเกอร์ทั้งหลาย ก็เตรียมแพ็คกระเป๋า แล้วออกเดินทางกันได้เลย...