บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อิงขุนเขา โอบกอดฟ้า ......ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ P r i m t a a และ คุณ มาเรีย ณ ไกลบ้าน 

          หนาวนี้ใครยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ ม่อนแจ่ม หรือดอยม่อนแจ่ม ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ อำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย เพราะตอนนี้ ม่อนแจ่ม เชียงใหม่ กำลังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของอำเภอแม่ริมไปซะแล้ว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม มองเห็นวิวทิวเขาซับซับซ้อน แถมยามค่ำคืนฟากฟ้าแวดล้อมไปด้วยดวงดารา ส่องแสงประกายระยิบระยับ 

          แหม...เกริ่นความงดงามมาซะขนาดนี้ คงไม่มีใครไม่อยากลองไปสัมผัส ม่อนแจ่ม หรือ ดอยม่อนแจ่ม อะ ๆ แต่ก่อนทะยานขึ้นเขา เราต้องไปทำความรู้จักกับ ม่อนแจ่ม และ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ดินแดนแห่งขุนเขากันซะก่อน

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม
          ม่อนแจ่ม คือสถานที่พักแห่งใหม่ของโครงการหลวง เพิ่งเปิดตัวไม่เมื่อปลายปี 2552 เป็นพื้นที่บนสันเขาในระดับความสูงประมาณ1,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล บริเวณหมู่บ้านม้งหนองหอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 

          ม่อนแจ่ม ปรากฎโฉมในรูปแบบ "แคมปิ้ง รีสอร์ท" ที่กลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว พร้อมชูความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย เช่น ในเต้นท์มีบริเวณส่วนตัว มีห้องน้ำส่วนตัว น้ำร้อน ไฟฟ้า และเครื่องใช้ครบครัน ประหนึ่งอยู่ในห้องพักโรงแรม แต่พิเศษกว่าตรงที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เพราะเพียงแค่คุณเปิดหน้าต่าง สายลมเย็น ๆ วิวขุนเขา สายหมอก ก็โผล่รอต้อนรับ แถมยามค่ำคืนดาวน้อยใหญ่จะค่อย ๆ ส่องประกายแวววับให้มองเพลิน ๆ 

          สำหรับเต้นท์ที่พักมี 2 ขนาด คือ เต้นท์เล็ก 800 บาทต่อคืน (2 คน) และเต้นท์ใหญ่ 1,200 บาทต่อคืน (4 คน)

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม
    
ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม
          ดื่มด่ำกับความงดงามของทัศนียภาพกันพักใหญ่ ท้องไส้ก็เริ่มร้องหาอาหารอร่อย ๆ อะ ๆ ไม่ต้องมองไปไหนไกล ที่ ม่อนแจ่ม มีร้านอาหารที่นำผลิตผลท้องถิ่นที่ปลูกเอง มาปรุงให้รับประทานกันด้วย ผัก ๆ สด ๆ หวานกรอบ หาชิมยากในเมืองกรุง และถ้ากินอิ่มแล้วอยากยืดแข้งขืดขา ก็สามารถไปเดินชมแปลงสตรอเบอร์รีผลสีแดงสด 

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม

          หรือไปเดินเล่นรอบเขาที่มีวิวสวย ๆ ก็ได้ และบริเวณใกล้ ๆ ม่อนแจ่ม จะเป็นที่ตั้งของ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ภายในมีแปลงผักและงานวิจัยผักเมืองหนาว เช่น อาติโช๊ค, แปลงสมุนไพร เลมอนทาร์ม มิ้น คาร์โมมายด์ โรสแมรี่, ไม้ผล เช่น พลัม องุ่นไร้เมล็ด สตรอเบอรี่หวานฉ่ำ, แปลงผักไฮโดรโพนิค เป็นเทคโนโลยีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน เช่น โอ้คลีฟแดง และผักตระกูลสลัด มะเขือเทศดอยคำ ให้ได้ชื่นชม 

          หรือจะไปเดินศึกษาธรรมชาติ ณ ดอยม่อนล่อง ซึ่งเป็นจุดชมวิว ชมทะเลหมอก บนหน้าผา 1,460 เมตร มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้าง ชมพรรณไม้และดอกไม้ป่าหลากหลาย แต่ถ้าใครกลัวหลง ที่นี่ก็มีไกด์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์น้อยของหมู่บ้านชาวเขา บริการนำเยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวเขา ติดต่อสอบถามรายละเอียด โทรศัพท์ 053- 939173 , 081-9509767 หรืออีเมล NONGHOYRPF@gmail.com

          และนี่คือ ม่อนแจ่ม สถานที่ท่องเที่ยวอกีแห่งหนึ่งที่เราหยิบมาแนะนำกัน ... อย่าลืมออกไปกอดเมืองไทยให้หายเหงา หายเหนื่อย และหายเบื่อกันนะคะ

ม่อนแจ่ม

ม่อนแจ่ม
 
ม่อนแจ่ม


การเดินทาง 

          ม่อนแจ่ม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 40 นาทีเท่านั้น โดยมาตามทางหลวง หมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง ตรงไปถึงอำเภอแม่ริม บริเวณกิโลเมตรที่ 17 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง หมายเลข 1096 สายแม่ริม-สะเมิง บริเวณกิโลเมตรที่ 15 ให้เลี้ยวขวาที่บ้านโป่งแยก ตรงไปอีก 6 กิโลเมตร ก็ถึงบน "ม่อนแจ่ม" 

          ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียด และจองที่พักได้ที่ โทรศัพท์ 081-8063993 และ 053810765 ต่อ 108

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แอ่ว คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ คุ้มวงศ์บุรี

ตามรอยละคร รอยไหม แอ่ว คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ คุ้มวงศ์บุรี

ตามรอยละคร รอยไหม แอ่ว คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

คุ้มวงศ์บุรี


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ la liga fanคุณ Noel086คุณ noel086 และ youtube.com by CiNNtv1

          จังหวัดแพร่…ขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดเก่าแก่ ที่มีตำนานเล่าขานถึงความรุ่งเรืองมายาวนาน อีกทั้งยังคงอนุรักษ์วิถีชีวิตเมื่อครั้งอดีตกาลไว้เคียงคู่กับปัจจุบันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมของอาคาร บ้านเรือน ที่มีตำนานและเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันมายาวนาน

          และยิ่งละครยอดนิยมอย่าง "รอยไหม" ทางช่อง 3 หยิบยกเอาความสวยงามและอลังการของคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ และ คุ้มวงศ์บุรี มาใช้เป็นโลเกชั่นหลัก ทำให้หลาย ๆ คนอยากเดินทางไปสัมผัสกับความงดงามมากขึ้น วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปยลโฉม พร้อม ๆ กับทำความรู้จัก คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ และ คุ้มวงศ์บุรี ให้ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นค่ะ

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ ในละคร รอยไหม

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ ในละคร รอยไหม

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่
คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

          มาเริ่มกันที่ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ หรือในละครรอยไหมคือ พิพิธภัณฑ์เก็ตถวา สถานที่นางเอกคือ "เรริน" แอบเข้าไปทอผ้า ตั้งอยู่บนถนนคุ้มเดิม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2435 โดย เจ้าหลวงพิริยชัยเทพวงศ์ (พระยาพิริยวิไชย) คุ้มแห่งนี้เป็นอาคารโอ่โถง มีประตู หน้าต่างทั้งหมด 72 บาน งดงามด้วยลวดลายฉลุไม้อยู่ด้านบนปั้นลม และชายคาน้ำ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ยุคต้น ซึ่งมีรูปทรงเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือทรงขนมปังขิง ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น


          หลังคามุงด้วยไม้ เรียกว่า "ไม้แป้นเกล็ด" ไม่มีหน้าจั่วเป็นแบบหลังคาเรือนปั้นหยา มีมุขสี่เหลี่ยมยื่นออกมาด้านหน้าของตัวอาคาร หลังคามุขมีรูปทรงสามเหลี่ยม ทั้งปั้นลมและชายคาน้ำรอบตัวอาคารประดับด้วยไม้แกะฉลุสลักลวดลายอย่างสวยงาม เป็นฝีช่างชาวจีนที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น มุขด้านหน้าตัวอาคารแต่เดิมมีบันไดขึ้นลงทั้ง 2 ด้าน คือด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ (ปัจจุบันรื้อออกแล้ว) คงเหลือบันไดขึ้นลงเฉพาะด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐถือปูน มี 2 ชั้น ไม่มีการฝังเสาเข็ม แต่ใช้ไม้ซุงท่อน ส่วนใหญ่เป็นไม้แก่น ไม้แดง และไม้เนื้อแข็ง รองรับฐานเสาทั้งหลัง 

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่
คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

          ภายใต้ตัวอาคารซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร มีห้องสำหรับคุมขัง ข้าทาส บริวาร ซึ่งกระทำความผิด จำนวน 3 ห้อง ห้องกลางเป็นห้องทึบ แสงสว่างสาดส่องเข้าไปไม่ได้เลย ใช้เป็นที่คุมขังข้าทาสบริวารที่กระทำความผิดร้ายแรง ส่วนอีก 2 ห้อง ปีกซ้ายและปีกขวา มีช่องแสง ให้แสงสว่างเข้าไปได้บ้าง ใช้เป็นที่คุมขังผู้มีความผิดชั้นลหุโทษ เป็นเวลายาวนานกว่า 50 ปี จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาส คุกทาสจึงกลายมาเป็นที่คุมขังนักโทษทั่ว ๆ ไปของเจ้าเมือง หรือข้าหลวงในสมัยต่อ ๆ มา ต่อมามีการสร้างเรือนจำเมืองแพร่ขึ้นใหม่ คุกแห่งนี้จึงว่างลง หลงเหลือไว้เพียงตำนาน

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

          ขณะเดียวกัน คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ ยังกลายเป็นที่ตั้งของกองทหารม้าจากกรุงเทพฯ ที่ส่งมารักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองแพร่อยู่ระยะหนึ่ง บริเวณใกล้ ๆ คุ้มเจ้าหลวงเคยมีคอกม้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ จากนั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2455 ได้ดัดแปลงเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดชาย คือ "โรงเรียนพิริยาลัย" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เจ้าหลวงแพร่องค์สุดท้าย แต่ต่อมาโรงเรียนก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ถนนยันตรกิจโกศล ส่วนคุ้มเจ้าหลวงก็กลายเป็นจวนหรือบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ จนเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้มอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ดูแล มีการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นจนถึงปัจจุบัน

คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่

          นอกจากนี้ คุ้มเจ้าหลวง หลังนี้ยังเคยใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวที่เสด็จมาเยี่ยมเยียนราษฎรจังหวัดแพร่ ในระหว่างวันที่ 15 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2501 และได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้เป็นสถาปัตยกรรมดีเด่นประเภทอาคารสถาบัน และสาธารณะ ประจำปี 2540

          ปัจจุบัน คุ้มเจ้าหลวง เปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เข้าชมเพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา โดยไม่เสียค่าเข้าชม!

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี ในละคร รอยไหม

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

          สำหรับ บ้านวงศ์บุรี หรือ คุ้มวงศ์บุรี หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า "บ้านสีชมพู" เรือนหลังงามของ "เจ้านางมณีริน" นางเอกในอดีตชาติ ตั้งอยู่ที่ถนนคำลือ (ถนนหลังจวนผู้ว่า สี่แยกพระนอนเหนือ) ใกล้กับวัดพงศ์สุนัน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2440 ตามดำริของ แม่เจ้าบัวถา มหายศปันยา ชายาคนแรกในเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ โดยมอบหมายให้ หลวงพงษ์พิบูล (เจ้าน้อยพรม) และ เจ้าสุนันตา วงศ์บุรี ธิดาเจ้าบุรี (พระยาบุรีรัตน์) น้องชายของแม่เจ้าบัวถา จัดหาช่างฝีมือทั้งไทยและจีนมาร่วมกันก่อสร้างเรือนหลังนี้

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

          จากนั้นอีก 3 ปี บ้านวงศ์บุรี ได้สร้างเสร็จสวยงามตามรูปแบบงาน สถาปัตยกรรมสมัยนิยมในยุค รัชกาลที่ 5 เป็นบ้านทรงปั้นหยา 2 ชั้น ฐานเป็นอิฐและซีเมนต์สูงจากพื้น 1 เมตร มีเพดานสูง หลังคาสูง มีช่องระบายลมระหว่างชั้นทั้งสอง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศเนื่องจากบ้านหันหน้าเข้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จึงมีลมพัดเย็นในฤดูร้อน

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

          จุดเด่นของอาคารนี้คือลวดลายไม้แกะสลักที่หน้าจั่ว ชายคา ระเบียง ช่องลม ชายน้ำ หน้าต่าง และประตู ที่ประตูด้านหน้าเป็นปูนปั้นรูปแพะ ซึ่งเป็นตัวแทนของหลวงพงษ์พิบูลย์และแม่เจ้าสุนันทา เพราะท่านทั้งสองเกิดในปีแพะ และสีที่ใช้โดยรวมจะเป็นสีชมพู เนื่องเพราะเป็นสีโปรดของ แม่เจ้าบัวถา ต่อมาได้มีการซ่อมแซม แต่ลวดลายแกะสลักยังคงเป็นของเดิม ภายในบ้านตกแต่งด้วยสิ่งของเครื่องใช้เก่าแก่ของตระกูลที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุ ได้แก่ เครื่องเรือน เครื่องเงิน เครื่องปั้นดินเผา เอกสารที่สำคัญ เช่น เอกสารการซื้อขายทาส 

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

คุ้มวงศ์บุรี

          ทั้งนี้ บ้านวงศ์บุรีได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่น ปี 2536 ของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง และตีพิมพ์ในหนังสือต่าง ๆ นอกจากนี้ บ้านวงศ์บุรีได้จัดกิจกรรมเสริม คือการจัดขันโตกสำหรับชาวไทยและต่างประเทศที่มาเป็นคณะซึ่งต้องติดต่อล่วงหน้า โดยเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น. สอบถามรายละเอียด โทรศัพท์ 0 5462 0153

          นั่นแน่! เริ่มอยากไปยลโฉมความงดงามของ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ และ คุ้มวงศ์บุรี กันแล้วใช่ไหมล่ะ ดังนั้น หากมีเวลาไม่ควรพลาดแวะเวียนไปสัมผัสกันนะคะ